วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

การเมืองและการบริหาร

  1. สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนายุทธศาสตร์และแปลงนโยบายของระทรวงเป็นแผนปฏิบัติจัดสรรทรัพยากร บริหารราชการประจำทั่วไปของกระทรวง การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาความสงบเรียบร้อยและอำนวยความเป็นธรรมและการส่งเสริมการบริหารราชการส่วนภูมิภาค เพื่อการบรรลุเป้าหมายและเกิดผลสัมฤทธิ์ตามภารกิจของกระทรวง

  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เสนอชื่อ นายมานิต วัฒนเสน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ แทนนายวิชัย ศรีขวัญ ที่จะเกษียณอายุราชการ ในเดือนกันยายนนี้ โดยนายมานิต ซี่งมีข่าวก่อนหน้านี้ ว่าเป็นบุคคลที่นายเนวิน ชิดชอบ ผู้สนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ผลักดันจากผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ให้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนจะถูกเสนอชื่อขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ในขณะที่เหลืออายุราชการอีก 2 ปี

  • ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่านายเนวิน ชิดชอบ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นผู้ผลักดัน นายมานิต ตามที่วิพากษ์วิจารณ์ อีกทั้งไม่ได้หวังผลในเรื่องการเลือกตั้งในอนาคต ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ประธานสส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าการแต่งตั้งครั้งนี้ ไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโสและที่ผ่านมา นายมานิตเคยลาพักร้อน ไปลงพื้นที่จังหวัดสกลนครช่วงเลือกตั้ง ดังนั้นจะส่งผลให้ นายมานิต ไม่เป็นที่ยอมรับของข้าราชการ

นาย สิทธิชัย เบ็นระเหม เลขที่ 36 รปศ 531

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

กลอนวันครู

พระคุณของครูนั้นยิ่งใหญ่หลวง
คอยเฝ้าห่วงลูกศิษย์มิตรห่วงหา
ท่านมุ่งมั่นสั่งสอนกวดวิชา
ให้นำพาความรู้ติดตัวตน
ครูอุตส่าอบรมบ่มนิสัย
คอยมอบให้ความรู้สู้ฝึกฝน
เราเป็นศิษย์โชคดีอีกหนึ่งคน
ขอก้มลงกราบเท้าบูชาครู
นาย สิทธิชัย เบ็นระเหม เลขที่ 36 รปศ 531

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

กลอนวันครู

อันคุณครูคำนี้มีความหมาย

อันหลากหลายคำพูดจะกล่าวถึง

คือผู้ให้ทรัพย์วิชาน่าคำนึง

คือผู้ซึ่งอบรมให้ทำดี

อีกครูนี้เหมือนพ่อแม่คนที่สอง

ครุจึงต้องอดทนต่อหน้าที่

เพียรสั่งสอนเป็นแม่พิมพ์ศิษมากมี

เรือจ้างนี้น้ำใจงามนามว่าครู
นาย ทวีรักษ์ ยาดี รปศ.531 เลขที่ 14

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

กลอนวันครู


คำว่าครูใครเล่าเข้าใจแท้

ท่านแน่วแน่สั่งสอนมิห่างหาย
รักลูกศิษย์ดั่งลูกมิเสื่อมคลาย

มิเคยหน่ายอบรมบ่มวิชา
ครูคือผู้มอบให้อันประเสริญ

ก่อกำเนิดปัญญาการศึกษา
เหล่าลูกศิษย์พร้อมใจน้อมบูชา

คุณลำค่าพระคุณครูนิรันดร


(นางสาวกัญญารักษ์ ทองงาม เลขที่ 2 รปศ.531)

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

การเมืองและการบริหาร

แนวความคิดที่ว่าด้วยความสัมพันธิระหว่างการเมืองและการบริหาร

จากข่าวการแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่นั้น ชี้ให้เห็นว่านักการเมืองมีส่วนแทรกแซงหรือผลักดันนักบริการ โดยที่จะเลือกหรือยื่นมติคนของตนเองหรือพักพวกเข้ามาทำงาน เพื่อจะได้ง่ายต่อการทำงาน แต่จากแนวความคิดระหว่างการเมืองและการบริหารนั้นควรจะแยกการเมืองออกจากการบริการ เพราะจะทำให้การบริหารงานทำได้อย่างไม่เต็มที่ จะไม่สามารถพัฒนาระบบงานให้มีประสิทธิภาพได้ จากตัวอย่างของปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่นี้ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดว่านักบริหารเมืองไทยยังคงขึ้นอยู่กับนักการเมืองมากจนเกินไป และยิ่งเป็นพักพวกกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งดำเนินงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายบริหารไม่เห็นชอบกับฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะเรื่องนโยบาย หรือเรื่องอื่นๆก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

(นางสาวกัญญารักษ์ ทองงาม รปศ.531 เลขที่ 2)

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ โดย อับราฮัม มาสโลว์

อับราฮัม มาสโลว์ เป็นนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์โดยได้ตั้งสมมุติฐานของการจูงใจไว้ 3ประการคือ
1.มนุษย์มีความต้องการตลอดเวลาไม่มีที่สิ้นสุด
2.ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นแรงจูงใจหรือกระตุ้นพฤติกรรมนั้นอีก ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่านั้นจะมีอิทธิพลต่อการจูงใจได้
3.ความต้องการของคนมีลำดับขั้นความต้องการจากต่ำไปหาสูง ในขณะที่ความต้องการขั้นต่ำได้รับการตอบสนองแล้วความต้องการขั้นสูงก็จะตามมามาสโลว์ แบ่งความต้องการของมนุษย์ออกเป็นลำดับขั้น ดังนี้1.ความต้องการทางด้านกายภาพ
2.ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย
3.ความต้องการทางด้านสังคม
4.ความต้องการยกย่องและยอมรับ
5.ความต้องการประจักษ์คุณค่าของตนเอง

ในสังคมปัจจุบันมนุษย์มีความต้องการมากขึ้น และมักจะสรรหาสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองมากขั้น ทั่งทางด้านกายภาพ เพราะทุกคนก็หวังว่าจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ โยเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ด้านความมั่นคงปลอดภัย ปลอดภัยทางด้านร่างกายและปลอดภัยด้านความมั่นคงการทำงาน ด้านสังคม มนุษย์ทุกคนก็มักต้องการความเป็นธรรมมากขึ้น ความต้องการที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสังคมมีความผูกพันมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนั้นๆ หรือจะเป็นการได้รับความยกย่องยอมรับ ชื่อเสียงเกียรติยศมนุษย์ทุกคนมีความต้องการที่จะได้ด้วยกันทั้งนั้นเพราะทำให้รู้สึกว่ามีเกียรติ และอยู่สูงกว่าผู้อื่นและสุดท้ายความต้องการประจักษ์คุณค่าของตนเอง ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต อยากทำอยากเป็นในสิ่งที่หวัง ฝันไว้ได้ทำอะไรตามที่ตนเองต้องการ แต่ความต้องการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้ยากหรือเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความต้องการขั้นต่ำได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น เช่นผู้ชายคนหนึ่งเป็นตำรวจมียศเป็นนายผู้หมวดก็อยากจะได้ยศเพิ่มอีกเป็นสารวัต เมื่อมีความต้องการก็มักจะไขว่คว้าสรรหามา

จากการที่ได้ศึกษาทฤษฎีความต้องการของมนุษย์โดยมาสโลว์นั้น ทำให้เข้าใจได้ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแต่มีความต้องการที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อได้อย่างก็มักจะต้องการอีกอย่าง ดูได้จากสังคมในปัจจุบัน ทุกคนล้วนแต่มีความอยากได้อยากมี มักจะไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ตนเองมีอยู่ จะต้องพยายามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นให้ได้ครอบครองอยู่เสมอ และเมื่อได้มาแล้วก็มักจะหาหนทางให้ได้อย่างอื่นอีกตามความต้องการโดยไม่สิ้นสุด

(โดย นางสาวกัญญารักษ์ ทองงาม เลขที่ 2 รปศ.531)

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันที่ 6 กรกฏาคมที่ผ่านมาอ.ได้สอนทฤษฎีและแนวคิดของนักวิชาการในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1-2
ซึ่งแต่ละท่านมีความคิดและมีเหตุมผลที่แตกต่างกันออกไป

แต่มีทฤษฎีอยู่ทฤษฎีหนึ่งที่ผมชอบและคิดว่าอยู่ในชีวิตประจำวันมากที่สุด และจะนำมายกตัวอย่าง คือ
ทฤษฎีของ ดักลาส แม็คเกรเกอร์

ทฤษฎีของดักลาส แม็คเกรเกอร์ คือ ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ทฤษฎีนี้มีหลักอยู่ว่า X มองในทางลบ
ส่วน Y เป็นการมองในทางบวก

หากยกตัวอย่างในการมาเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีแนวคิดนี้ก็สามารถยกตัวอย่างได้ คือ การมองแบบ X
อ.จะหักคะแนนนักศึกษาสำหรับนักศึกษาที่มาเข้าเรียนสาย หากมองแบบ Y อ.จะเพิ่มคะแนนพิเศษให้
นักศึกษาสำหรับนักศึกษาที่ไม่เคยเข้าเรียนสายหรือนักศึกษาที่มาตรงเวลา


สรุปได้ว่าทฤษฎีนี้เป็นการใช้กลวิธี 2 วิธี ทฤษฎี X เป็นการใช้กฎหรือข้อบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตามเป้าหมาย
ส่วนทฤษฎี Y เป็นการใช้แรงจูงใจชักจูงให้ปฏิบัติตามเป้าหมายที่ตั้งไว้



นาย ทวีรักษ์ ยาดี เลขที่ 14 รัฐประศาสนศาสตร์ 531



วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทฤษฏี X และทฤษฏี y โดยดักลาส แมคเกรเกอร์

ทฤษฏี X และทฤษฏี y โดยดักลาส แมคเกรเกอร์
ดักลาส แมคเกรเกอร์ ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่ง ชื่อว่า The Human Side of Enterprise โดยตั้งสมมติฐานว่า วิธีการจูงใจคน มี 2วิธี คือวิธีแบบเดิม หรือ Theory X และวิธีแบบมนุษยสัมพันธ์ หรือ Theory Y
ทฤษฏี X มีสาระสำคัญดังนี้
1. ฝ่ายจัดการมีความรับผิดชอบที่จะจัดส่วนประกอบขององค์การ
2. ฝ่ายจัดการมีหน้าควบคุมวิธีการจูงใจ
3. ฝ่ายจัดการมีหน้าที่ควบคุมอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ยังเสนอความคิดเห็นต่อไปอีก คือ
1. มนุษย์มีสันดานขี้เกียจ
2. มนุษย์ขาดความทะเยอทะยาน
3. มนุษย์เห็นแก่ตัว
4. มนุษย์มีนิสัยต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
5. มนุษย์ไม่ฉลาดถูกหลอกง่าย
ทฤษฏี Y เป็นแนวคิดแบบมนุษยสัมพันธ์ ยกย่องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และ เชื่อว่าสามารถจูงใจคนทำงานมากกว่าทฤษฏี X คือ
1. ฝ่ายจัดการมีความรับผิดชอบ
2. โดยธรรมชาติมนุษย์ไม่เฉื่อยชา
3. โดยธรรมชาติมนุษย์มีพื้นฐานพัฒนาความรับผิดชอบ
4. หน้าที่สำคัญของฝ่ายจัดการ คือ จัดสภาพและวิธีการผลิต



แนวความคิด
ทำให้เราเห็นถึงภาพลักษณ์ของคน ว่าแต่ละคนมีทั้งด้านที่ดีและดานที่ไมดี ดังนั้นเราจึงควรมองคนทั้งสองด้านไม่ควรมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเราจะไม่รู้ว่าคนไน้นเป็นคนดีหรือคนไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น เวลาตำรวจตรวจจับหมวกันน๊อค ถ้าเรามองในแง่ลบเราก็คิดว่าตำรวจรีดไถประชาชน หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่ถ้ามองในแง่บวก ก็จะเห็นได้ว่าตำรวจนั้นเป็นผู้รักษากฏหมาย มื่อเห็นประชาชนไม่ปฏิบัติตามกฏหมายตำรวจก็ต้องจับเพื่อในครั้งต่อไปประชนจะไดไม่ทำผิดกฏหมายกันอีก และคนที่ขับขี่ยานพาหะนะก็จะได้ปลอดภัย




สรุป
ดักลาส แมคเกรเกอร์ ได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งเนื้อหามีอยู่ว่า การจูงใจคนมี 2 วิธี คือ แบบเดิม หรือ Theory X และวิธีแบบมนุษยสัมพันธ์ หรือ Theory Y แต่ละรูปแบบการจูงใจจะมีความสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ไม่เหมือนกัน ทฤษฎี X คือการมองคนในด้านบวก ทฤษฎี Y คือมองคนในด้านลบ
เพราะฉนั้นเราจึงคารมองคนทั้งสองด้าน ไม่ควรมองเพียงด้านเดียว

(โดย นาย ศักดิ์มงคล วงค์สาชุม เลขที่ 32 ห้อง รปศ. 531 )

การศึกษาทดลองที่ ฮอว์ธอร์น

การศึกษาทดลองที่ ฮอว์ธอร์น
เอลตัน เมโย และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพของการทำงานในโรงงานย่านฮอว์ธอร์น เป็นการทดลองโดยใช้พื้นฐานทางมนุษย์สัมพันธ์และจิตวิทยาในโรงงานอุตสาหกรรม ได้ศึกษาสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่มีผลต่อการทำงานของคนงาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตกับปัจจัยทางกายภาพในการทำงาน การทดลองแบ่งออก 4 ระยะ
ระยะที่ 1 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานในห้องทดลองที่มีแสงสว่างแตกต่างกัน
ระยะที่ 2 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานในห้องทดลองที่มีเงื่อนไขแตกต่างกัน
ระยะที่ 3 การศึกษาพฤติกรรมของคนงานโดยการสัมภาษณ์
ระยะที่ 4 การศึกพฤติกรรมของคนงานโดยการสังเกตการณ์

ความคิดเห็น
ทำให้นึกถึงคนที่ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆในโรงงานซึ่งผลของผลิตสินค้านั้นขึ้นอยู่กับคนส่วนรวมถ้ามีคนผลิตสินค้าได้น้อยก็จะถูกมองว่า เป็นคนขี้เกียจ แต่ถ้าผลิตสินค้าได้มากก็จะถูกผู้อื่นมองว่าเกินหน้าเกินตา จึงต้องลดหรือเพิ่มความสามารถให้เท่ากับผู้อื่น

สรุป
ในการทำงานของคนในกลุ่มใหญ่นั้นการผลิตจะขึ้นอยู่กับคนจำนวนมากเป็นส่วนใหญ่ซึ่งคนเรานั้นจะเห็นด้วยของเสียงส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องทำให้เหมือนกับคนอื่นๆ
(โดยนายภาณุวัฒน์ ชารี เลขที่ 24 ห้อง รปศ. 531 )

ทฤษฎีการจูงใจกับสุขวิทยา โดยเฟรดเดอริก เฮิร์ซเบริร์ก

ทฤษฎีการจูงใจกับสุขวิทยา โดยเฟรดเดอริก เฮิร์ซเบริร์ก
1. มีปัจจัยบางอย่างเกี่ยวกับงาน ซึ่งถ้าหากมามีสิ่งเหล่านี้จะทำให้คนงานไม่พอใจในงานที่ทำ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ใช้บำรุงรักษาจิตใจ
2. มีปัจจัยเกี่ยวกับงานบางอย่าง เป็นสิ่งจูงใจหรือทำให้เกิดความพอใจในการทำงานเรียกว่า ปัจจัยจูงใจ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นหรือจูงใจให้คนปฏิบัติงานให้ดีขึ้น การศึกษาปัจจัยสุขวิทยา หรืออาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัจจัยค้ำจุน จะทำให้คนงานมีความสุขหรือมีความพอใจในการปฏิบัติงานนอกจากนี้ เฮิร์ซเบริร์ก ยังไว้แนะนำวิธีปรับปรุงงาน การเพิ่มขยายงาน และ การหมุนเวียนสับเปลี่ยนตำแหน่งงาน

ทำให้นึกถึงผู้ที่ทำงานในออฟฟิต คือ ถ้าได้เงินเดือนน้อย แต่ทำงานเยอะแรงจงใจที่จะทำงานก็จะมีน้อยงานที่ออกมาก็จะไม่มีประสิทธิภาพ ผิดกับผู้ที่ได้เว้นเดือนเยอะมีโบนัสให้ ก็มีแรงกระตุ้นหรือมีแรงจูงใจในการทำงาน งานที่ออกมาก็จะมีประสิทธิภาพ

สรุป ในการที่เราจะทำงานอะไรก็ตามก็จะต้องมีแรงจูงใจหรือตะวกระตุ้นในงานที่จะทำ ปัจจัยเหล่านี้คือ ความสำเร็จในการปฏิบัติงาน การยอมรับนับถือจากคนอื่น ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ลักษณะงานที่ถนัด ความรับผิดชอบที่เหมาะสมกับตำแหน่ง
(โดย นาย สิทธิชัย เบ็นระเหม เลขที่ 36 ห้องรปศ. 531)

ประสิทธิภาพในการทำงาน บองลูเธอร์ กูลิค และ ลินดอลล์

หลักประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของการบริหาร และเพื่อที่จะให้การบริหารในทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการแบ่งงานตามความเหมาะสมและความถนัดของคนงาน ดังนั้นถ้าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญในการปฏิบัติงานมากเท่าใด การบริหารงานก็จะบรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น ประสิทธิภาพก็มากขึ้นเท่านั้น
แถวบ้านผมมี โรงงานยาง เขาแบ่งงานทำโดยให้คนที่มีความถนัดในแต่ละแบบไม่เหมือนกัน เช่น คนที่ถนัดในการกรีดยางให้มีหน้าที่กรีดยางอย่างเดียว ส่วนคนที่ถนัดในการเก็บน้ำยางนั้นต้องเก็บเท่านั้นถึงจะทำได้ ส่วนคนทำแผ่นยางนั้นต้องมีความถนัดและใช้เทคนิคในการทำแผ่นยางอย่างสูงมากถึงจะได้ยางที่มีคุณภาพดี
สรุป การใช้ทรัพยากรในการดำเนินการใดๆ ก็ตามโดยมีสิ่งมุ่งหวังถึงผลสำเร็จ และผลสำเร็จนั้นได้มาโดยการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด และการดำเนินการเป็นไปอย่างประหยัด ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา ทรัพยากร แรงงาน รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่ต้องใช้ในการดำเนินการนั้นๆ ให้เป็นผลสำเร็จ และถูกต้อง
(โดย นาย ศุภกร จันเมือง เลขที่33 ห้อง รปศ. 351)เป้าหมายมีไว้พุ่งชน